โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) อาการปวดส้นเท้าที่แสนทรมาร และวิธีรักษาที่คุณต้องรู้

อาการปวดส้นเท้าแสนทรมานที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณอันตรายว่าคุณกำลังเป็นโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) โดยไม่รู้ตัว โรคนี้เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อพังผืดใต้ฝ่าเท้าที่เชื่อมระหว่างกระดูกส้นเท้ากับนิ้วเท้า หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เดินลำบาก

ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และอาการเตือนของโรครองช้ำ อีกทั้งยังมีคำแนะนำเรื่องการรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น พร้อมกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูข้อมูลดีๆกันเลย

สาเหตุของโรครองช้ำ

โรครองช้ำหรือ Plantar Fasciitis มีสาเหตุมาจากการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า โดยเฉพาะบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกส้นเท้ากับโคนนิ้วเท้า สาเหตุหลักมักเกิดจากการใช้งานเท้าหนักเกินไป เช่น ยืน เดิน หรือวิ่งเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บและการอักเสบขึ้นได้นอกจากภาระงานที่หนักหน่วงแล้ว ลักษณะโครงสร้างของเท้าเองก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีอุ้งเท้าแบนหรืออุ้งเท้าสูงจัด จะได้รับแรงกระแทกเข้าที่ส้นเท้าและเอ็นรอบๆ มากเป็นพิเศษ ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของพังผืดใต้ฝ่าเท้าได้ง่ายกว่าคนอื่น

สัญญาณเตือนของโรครองช้ำ

คนที่มีอาการของโรครองช้ำ หรือพังผืดอักเสบใต้ฝ่าเท้า มักจะมีสัญญาณเตือนให้สังเกตได้ดังนี้

อาการปวดส้นเท้า

โดยมากคนที่เป็นโรคนี้จะรู้สึกปวดส้นเท้าทันทีที่ลงน้ำหนักเท้าในก้าวแรกหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งนานๆ เมื่อลุกขึ้นมาเดิน ลักษณะปวดจะเป็นแบบปวดจี๊ดๆ เหมือนถูกเข็มทิ่ม หรือปวดแสบๆ คล้ายโดนของร้อน ซึ่งในบางรายอาจลามไปจนทั่วทั้งฝ่าเท้าเลยก็มี

อาการปวดดีขึ้นหลังเดิน

จะสังเกตได้ว่าอาการปวดที่ส้นเท้าจะลดลง เมื่อได้เคลื่อนไหวเดินหรือทำกิจกรรมไปสักพัก แต่พอหยุดพักอาการเจ็บปวดมักกลับมาเล่นงานอีกครั้ง โดยเฉพาะหากใช้เท้าหนักๆ อาจทำให้ปวดระหว่างวันได้

ยกเท้าขึ้นจากพื้นได้ยาก

ผู้ที่มีอาการรองช้ำอักเสบอาจรู้สึกว่ายกเท้าขึ้นจากพื้นได้ลำบากกว่าปกติ อันเนื่องมาจากความเจ็บปวดที่แผ่กระจายอยู่บริเวณฝ่าเท้า หากปล่อยอาการไว้นานโดยไม่รักษา ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดส้นเท้าและฝ่าเท้าต้องทนทุกข์ทรมานกันยาวๆ เป็นเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว

กลุ่มเสี่ยงโรครองช้ำ

โรครองช้ำเป็นโรคที่พบได้บ่อยในหลายคน แต่จะมีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ ได้แก่

ผู้ที่ใช้งานเท้าหนัก เช่น คนทำงานที่ต้องยืนหรือเดินเป็นเวลานานๆ ผู้หญิงที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงเกือบทุกวัน รวมไปถึงนักกีฬาโดยเฉพาะนักวิ่งระยะไกลที่ต้องซ้อมหนักและวิ่งกระแทกส้นบนพื้นแข็งบ่อยๆ

ผู้สูงอายุ เมื่อเข้าสู่วัยชราเส้นเอ็นจะมีการเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครองช้ำอักเสบสูงกว่าวัยอื่นๆ

คนอ้วน ยิ่งน้ำหนักมาก เวลาทำกิจกรรมต่างๆ น้ำหนักตัวก็จะไปลงที่เท้ามากตามไปด้วย ทำให้มีโอกาสเป็นโรครองช้ำได้ง่าย

สวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม เช่น พื้นรองเท้าแข็งเกินไป รองเท้าไม่พอดีเท้า หรือส้นสูงจนผิดธรรมชาติ ล้วนแต่ส่งผลให้โครงสร้างเท้ารับน้ำหนักที่ผิดปกติ ซึ่งนำมาสู่อาการบาดเจ็บได้

โครงสร้างเท้าผิดรูป ทั้งอุ้งเท้าสูงเกินไป เท้าแบนราบหรือคว่ำเข้าด้านใน อาจทำให้เกิดการลงน้ำหนักที่ไม่สมดุล จนกลายเป็นการทำร้ายเท้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว

การเดินที่ผิดปกติ อย่างผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม หรือมีเอ็นร้อยหวายหดรั้ง มักเดินได้ไม่เต็มฝ่าเท้า หรือมีแรงกดที่ส้นเท้ามากกว่าปกติ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรครองช้ำได้

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ที่ทำให้เอ็นและพังผืดต่างๆ อักเสบได้ง่าย หรือผู้ที่เป็นเบาหวานและมีข้ออักเสบเรื้อรัง ก็อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อและเส้นประสาทเท้าได้เช่นกัน

วิธีรักษาโรครองช้ำ

ในส่วนของเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ใช้รักษาโรครองช้ำนั้น มีอยู่หลายวิธีด้วยกันครับ ซึ่งแต่ละวิธีจะมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันไป โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ และกระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ

1. Focus Shockwave Therapy (FST) เป็นการใช้เครื่อง Shockwave ที่ปล่อยคลื่นกระแทกแรงดันสูงเป็นจังหวะ วิ่งผ่านลงไปในชั้นผิวหนัง เข้าไปกระตุ้นเซลล์และเนื้อเยื่อที่อยู่ในชั้นลึกลงไป ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดการอักเสบ และเร่งการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งมีส่วนช่วยซ่อมแซมพังผืดและเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดได้ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบเรื้อรังแบบตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ไม่ดีนัก ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่จะทำให้เห็นผลการรักษาดีที่สุด

2. Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) คือการใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงผ่านขดลวดหรือ Coil ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเนื้อเยื่อ เหนี่ยวนำให้เซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อทำงานดีขึ้น โดยกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะเป็นปริมาณน้อยๆที่ปลอดภัยแต่ส่งผลในการรักษาฟื้นฟูได้ กล่าวคือ จะเป็นการช่วยส่งผลให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดได้ โดยเครื่อง PMS นี้จะวางตำแหน่งให้ตรงกับจุดที่มีการบาดเจ็บหรือปวด เช่น บริเวณฝ่าเท้า ส้นเท้า หรือน่องที่มีการปวดตึง

3. Therapeutic Ultrasound เป็นการใช้คลื่นความถี่สูงในช่วง 1-3 MHz ส่งผ่านหัวตรวจที่ใช้สารหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานกับผิวหนัง โดยพลังงานที่ได้จากการสั่นสะเทือนของคลื่นอัลตราซาวนด์ จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นภายในเนื้อเยื่อ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มการไหลเวียนโลหิตเฉพาะที่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งให้ผ่อนคลาย ลดการอักเสบและเร่งการสมานแผลได้ดีขึ้น

4. Electrotherapy การนำกระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำมาใช้กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดตัวและคลายตัวสลับกัน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด และความตึงตัวของกล้ามเนื้อได้ดี อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้เร็วขึ้นอีกด้วย

โดยปกติในการรักษาโรครองช้ำ ทางกายภาพบำบัดมักจะวางแผนใช้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ร่วมกัน เพื่อเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน ควบคู่ไปกับการยืดกล้ามเนื้อ การทำ Manual Therapy และการให้โปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปตามการตอบสนองของร่างกายและระยะของการฟื้นฟู เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด และป้องกันไม่ให้โรคกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาวครับ

โดยสรุปแล้ว เครื่องมือทางกายภาพบำบัดสำหรับการรักษาโรครองช้ำที่นิยมใช้กันมีดังนี้

  1. Focus Shockwave Therapy (FST) ใช้คลื่นกระแทกความดันสูง
  2. Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) ใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำเนื้อเยื่อ
  3. Therapeutic Ultrasound ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์เพื่อเกิดความร้อนและผลกระทบเชิงกล
  4. Electrotherapy ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำกระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาท โดยส่วนใหญ่นักกายภาพบำบัดมักจะเลือกใช้วิธีการรักษาเหล่านี้ร่วมกันอย่างเหมาะสม พิจารณาปรับเปลี่ยนไปตามตอบสนองของผู้ป่วยและระยะของการฟื้นฟู เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่ของการบรรเทาอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

สรุป 

โรครองช้ำหรือ Plantar Fasciitis เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า ทำให้มีอาการปวดบริเวณส้นเท้าอย่างรุนแรงโดยเฉพาะตอนตื่นนอนหรือหลังเดินเป็นระยะเวลานาน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้เกิดอาการเรื้อรังและส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตได้

การรักษาโรครองช้ำด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาความเจ็บปวด ลดการอักเสบ และฟื้นฟูการทำงานของเท้าให้กลับมาเป็นปกติ โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ ทั้งการใช้เครื่อง Extracorporeal shockwave, สนามแม่เหล็กความเข้มสูง, คลื่นอัลตราซาวนด์ และกระแสไฟฟ้า ซึ่งต่างก็ช่วยกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวได้อย่างมีประสิทธิผล

นอกจากการใช้เครื่องมือเหล่านี้แล้ว นักกายภาพบำบัดยังนิยมผสมผสานเทคนิคอื่นๆ อย่างการยืดกล้ามเนื้อ การนวดด้วยมือ และการให้โปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนักกายภาพบำบัดที่จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล และปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาไปตามการตอบสนองของร่างกายและระยะของการฟื้นฟูด้วย

หากใครมีอาการของโรครองช้ำ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดการเสื่อมสภาพของเท้าถาวรครับ การปรึกษานักกายภาพบำบัดตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้รักษาอาการได้ตรงจุด และป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาวได้เป็นอย่างดี การมีเท้าที่แข็งแรงจะทำให้เราเดินได้อย่างมั่นใจ และพร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างเต็มที่อีกครั้ง

เลือกอ่านได้ที่นี่

Flex Rehab & Flex Wellness

ปวดจุดไหน ให้เราฟื้นฟู

ดูแลด้วยนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ ที่ เฟล็กซ์รีแฮบ และ เฟล็กซ์เวลเนสทุกสาขาทั่วประเทศไทย

  • ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

  • ดูแลด้วยนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ