โรคข้อเข่าเสื่อม: สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยง และการรักษาด้วยกายภาพบำบัด

ทุกก้าวที่เจ็บปวดเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม โรคข้อเข่าเสื่อม ไม่ใช่แค่โรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อยๆ ที่ต้องทนทุกข์กับอาการปวดเข่า ข้อฝืด และการเคลื่อนไหวที่จำกัด ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก หลายคนเชื่อว่าการผ่าตัดเป็นทางออกเดียว แต่ความจริงแล้ว มีวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดหลายวิธีที่บรรเทาได้ดี

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรักษาทางกายภาพบำบัด ไปจนถึงนวัตกรรมการรักษาล่าสุด ที่จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ลดความเจ็บปวด และหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น

ทำไมคุณถึงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม: เข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่มีหลายปัจจัยที่เร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณป้องกันและชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำหนักตัวที่มากเกินไป: ภาระหนักที่ข้อเข่าแบกรับ

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ โรคข้อเข่าเสื่อม เมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แรงกดที่กระทำต่อข้อเข่าก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การศึกษาพบว่าทุกๆ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักตัว จะสร้างแรงกดลงบนข้อเข่าถึง 3-4 กิโลกรัม นั่นหมายความว่าหากคุณมีน้ำหนักเกิน 10 กิโลกรัม ข้อเข่าของคุณต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 30-40 กิโลกรัมในทุกๆ ก้าวที่เดิน สิ่งนี้ทำให้ข้อเข่าต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

เพศและพันธุกรรม: ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

โรคข้อเข่าเสื่อมพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากสาเหตุสำคัญสองประการ ประการแรก ผู้หญิงมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย ทำให้กล้ามเนื้อต้นขาซึ่งมีหน้าที่พยุงและกระจายน้ำหนักไม่ให้กดลงที่ข้อเข่าโดยตรงมีความแข็งแรงน้อยกว่า ประการที่สอง เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ร่างกายผู้หญิงจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ซึ่งฮอร์โมนนี้มีความสำคัญในการสร้างและบำรุงมวลกระดูก เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง มวลกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมตามมา

นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญ หากในครอบครัวของคุณมีประวัติเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม คุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะโครงสร้างของกระดูกและข้อต่อที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: ตัวช่วยสำคัญในการรองรับน้ำหนัก

กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าโดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขา มีหน้าที่สำคัญในการพยุงและสร้างความมั่นคงให้กับข้อเข่า หากกล้ามเนื้อเหล่านี้ไม่แข็งแรงเพียงพอ จะทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกระแทกโดยตรง ส่งผลให้เกิดการเสียดสีและการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนมากขึ้น การรักษาข้อเข่าเสื่อม จึงต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหล่านี้ด้วย

การศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีกล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง แม้จะมีภาวะข้อเข่าเสื่อมตามผลเอกซเรย์ แต่มักมีอาการปวดและข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวน้อยกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การใช้ข้อเข่าที่ไม่เหมาะสม: ท่าทางที่ทำร้ายข้อเข่า

พฤติกรรมและท่าทางการใช้ชีวิตประจำวันมีผลอย่างมากต่อสุขภาพข้อเข่า อาการข้อเข่าเสื่อม มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีกิจวัตรที่ต้องใช้ข้อเข่ามากเกินไป หรือใช้ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองๆ เป็นเวลานาน หรือการเดิน-วิ่งขึ้นลงบันไดบ่อยๆ การกระโดด หรือกิจกรรมที่สร้างแรงกระแทกต่อข้อเข่าสูง

นักกีฬาที่ต้องใช้ข้อเข่าหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น นักวิ่งมาราธอน นักฟุตบอล หรือนักบาสเกตบอล ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะหากเคยได้รับบาดเจ็บที่เข่ามาก่อน เช่น การฉีกขาดของเอ็นไขว้ หรือหมอนรองข้อเข่าฉีกขาด

อาการที่บ่งบอกว่าคุณเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

การรู้จักและเข้าใจ อาการข้อเข่าเสื่อม จะช่วยให้คุณสามารถค้นพบปัญหาได้แต่เนิ่นๆ และเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่อาการจะลุกลามรุนแรงจนต้องเข้ารับการผ่าตัด อาการสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับโรคข้อเข่าเสื่อมมีดังนี้

อาการปวดเข่า: สัญญาณเตือนแรกที่ไม่ควรละเลย

อาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมีลักษณะเฉพาะ คือมักเป็นอาการปวดตื้อๆ ทั่วบริเวณข้อเข่า ไม่สามารถชี้ตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจน อาการปวดมักเป็นเรื้อรังและจะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการใช้งานหรือลงน้ำหนักที่ข้อเข่า เช่น ขณะเดิน ยืน หรือขึ้นลงบันได แต่จะทุเลาลงเมื่อได้พักการใช้งาน

ในระยะแรก อาการปวดมักเกิดเฉพาะเมื่อมีการใช้งานมากเกินไป แต่เมื่อโรคดำเนินไปสู่ระยะรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตลอดเวลา แม้ในขณะพักหรือกลางคืน ทำให้นอนไม่หลับและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก บางรายอาจมีอาการตึงบริเวณพับเข่าร่วมด้วย ทำให้การเหยียดขาไม่สุด

ข้อฝืด: อาการทั่วไปที่พบได้บ่อย

ข้อฝืด (stiffness) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ลักษณะเฉพาะคือมักเกิดข้อฝืดในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน แต่อาการข้อฝืดในตอนเช้ามักไม่เกิน 30 นาที ซึ่งต่างจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่อาการข้อฝืดมักจะอยู่นานกว่านั้น

อาการฝืดอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วงแรกของการเคลื่อนไหวหลังจากที่นั่งหรือนอนนิ่งๆ เป็นเวลานาน ผู้ป่วยมักบรรยายความรู้สึกว่าเหมือน “เข่าแข็งๆ” หรือ “เข่าขยับลำบาก” หลังจากลุกขึ้นเดิน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อได้เคลื่อนไหวไปสักพัก

ข้อบวมและผิดรูป: เมื่อโรคดำเนินไประยะหนึ่ง

เมื่อโรคข้อเข่าเสื่อมดำเนินไประยะหนึ่ง อาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้ เช่น ข้อเข่าบวม ซึ่งการบวมนี้ไม่ได้เกิดจากการอักเสบหรือของเหลวในข้อมากเกินไป แต่เกิดจากกระดูกงอกบริเวณข้อเพื่อตอบสนองต่อการเสื่อมของกระดูกอ่อน

นอกจากนี้ อาจพบความผิดปกติของโครงสร้างข้อเข่า เช่น ขาโก่ง (bow legs) หรือเข่าฉิ่ง (knock knee) ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดความไม่สมดุลในการรับน้ำหนัก และส่งผลให้โครงสร้างข้อเข่าเปลี่ยนแปลงไป

สูญเสียการเคลื่อนไหวและการทำงาน: ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

เมื่อโรคดำเนินไปสู่ระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น ไม่สามารถงอหรือเหยียดเข่าได้เต็มที่ การเดินระยะไกลทำได้ลำบาก การขึ้นลงบันไดกลายเป็นความท้าทาย หรือแม้แต่การลุกนั่งจากเก้าอี้ก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ

ในระยะรุนแรง ผู้ป่วยอาจต้องพึ่งพาอุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า หรือวอล์กเกอร์ และอาจมีข้อจำกัดในการดูแลตนเอง ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก

เสียงกรอบแกรบในข้อเข่า: เสียงบอกเหตุ

อีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมคือ การมีเสียงดังกรอบแกรบ (crepitus) ในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว เสียงนี้เกิดจากผิวข้อที่ขรุขระเสียดสีกัน หรือเกิดจากเอ็นและกล้ามเนื้อเคลื่อนผ่านผิวกระดูกที่ไม่เรียบ

แม้ว่าการมีเสียงในข้อเข่าไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเสมอไป แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวด ข้อฝืด หรือข้อบวม ก็ควรพิจารณาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด

5 วิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมที่บรรเทาได้จริง

การรักษาข้อเข่าเสื่อม มีหลายวิธี ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปจนถึงการผ่าตัด การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุ ลักษณะการใช้ชีวิต และความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย วิธีการรักษาที่บรรเทาได้ดีมีดังนี้

1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: จุดเริ่มต้นของการรักษา

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นพื้นฐานสำคัญของ การรักษาข้อเข่าเสื่อม ทุกระยะ วิธีการที่บรรเทาได้ดี ได้แก่:

การลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาพบว่าการลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัม สามารถลดแรงกดบนข้อเข่าได้ถึง 20 กิโลกรัมในทุกๆ ก้าวที่เดิน

การหลีกเลี่ยงท่าทางที่ส่งผลเสียต่อข้อเข่า: งดหรือลดการทำกิจกรรมที่ต้องอยู่ในท่าทางที่สร้างแรงกดมากบนข้อเข่า เช่น การนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ หรือนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน การเดินขึ้นลงทางชัน หรือการขึ้นบันไดหลายๆ ขั้น

การปรับสภาพแวดล้อม: จัดบ้านและที่ทำงานให้เอื้อต่อการลดแรงกดบนข้อเข่า เช่น ใช้เก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะ ไม่ต้องนั่งงอเข่ามาก หรือลุกยากเกินไป ใช้ราวจับในห้องน้ำหรือบริเวณที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง: ในรายที่มีอาการมาก การใช้อุปกรณ์พยุงข้อเข่า (knee brace) หรือไม้เท้าช่วยพยุงน้ำหนัก สามารถช่วยลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้

2. การใช้ยา: บรรเทาอาการปวดและการอักเสบ

การใช้ยาเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ยาที่นิยมใช้ได้แก่:

ยาแก้ปวด: เช่น พาราเซตามอล เป็นยาพื้นฐานสำหรับบรรเทาอาการปวดที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับอาการปวดรุนแรง

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน หรือไดโคลฟีแนค ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้ดี แต่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารและไต จึงควรใช้ในระยะสั้นและภายใต้การดูแลของแพทย์

ยาคลายกล้ามเนื้อ: ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าที่อาจเกิดจากการปรับตัวเพื่อรองรับอาการปวด

การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าข้อ: ในรายที่มีอาการปวดหรืออักเสบมาก การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อโดยตรงสามารถช่วยลดอาการได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลการรักษามักอยู่ได้ไม่นาน (ประมาณ 2-3 เดือน) และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไปเนื่องจากอาจเร่งการเสื่อมของกระดูกอ่อนในระยะยาว

3. การรักษาทางกายภาพบำบัด: ฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่า

กายภาพบำบัดข้อเข่า เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวด เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อ และเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า การรักษาทางกายภาพบำบัดที่นิยมใช้สำหรับโรคข้อเข่าเสื่อม ได้แก่:

การใช้ความร้อนและความเย็น: การประคบเย็น (Cold pack) ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบเฉียบพลัน ในขณะที่การประคบร้อน (Hot pack) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด คลายกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดเรื้อรัง

อัลตราซาวด์ (Ultrasound): การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย

การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electric stimulation): ช่วยลดอาการปวด กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง และเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณข้อเข่า

คลื่นกระแทก (Shockwave): ทั้งแบบ Radial shockwave และ Focus shockwave มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด และกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดยคลื่น Radial จะแผ่กระจายออกและพลังงานจะลดลงตามความลึกของเนื้อเยื่อ ในขณะที่ Focus shockwave จะส่งพลังงานได้ลึกและตรงจุดกว่า

การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Peripheral Magnetic Stimulation – PMS): เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกอาการปวดลดลง 50-60% ตั้งแต่การรักษาครั้งแรก

การขยับข้อต่อ (Mobilization) และการยืดกล้ามเนื้อ: เป็นเทคนิคที่นักกายภาพบำบัดใช้เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อและเอ็น และลดอาการปวด

การออกกำลังกายเฉพาะ: โปรแกรมการออกกำลังกายที่ออกแบบเฉพาะบุคคลเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (quadriceps) และด้านหลัง (hamstrings) เพิ่มความยืดหยุ่น และปรับปรุงการทรงตัว

การฝึกปรับท่าทางการเคลื่อนไหว: เรียนรู้วิธีการเดิน นั่ง ยืน และทำกิจวัตรประจำวันอย่างถูกต้องเพื่อลดแรงกดบนข้อเข่าและป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติม

4. การฉีดสารเพื่อบำรุงและชะลอการเสื่อมของข้อเข่า: นวัตกรรมการรักษาล่าสุด

นวัตกรรมการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันคือ การฉีดสารพิเศษเข้าไปในข้อเข่าโดยตรง เพื่อฟื้นฟูและชะลอการเสื่อมของข้อ วิธีการนี้มุ่งเน้นการแก้ไขที่ต้นเหตุของโรค ไม่ใช่เพียงบรรเทาอาการ ได้แก่:

4.1 เกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma – PRP)

PRP รักษาเข่าเสื่อม เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเพื่อให้ได้พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูง เกล็ดเลือดเหล่านี้อุดมไปด้วยสารเติบโต (Growth factors) ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อม กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอักเสบ

หลังจากแยกเกล็ดเลือดเข้มข้นแล้ว แพทย์จะฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าโดยตรง เพื่อไปฟื้นฟูเซลล์ข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่เพียงบรรเทาอาการ ข้อดีของวิธีนี้คือปลอดภัยสูงเนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเอง ไม่มีการปฏิเสธหรือแพ้ และให้ผลการรักษาที่ดี

งานวิจัยพบว่า PRP สามารถช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงการทำงานของข้อเข่าได้นานถึง 6-12 เดือนต่อการรักษาหนึ่งครั้ง และสามารถทำซ้ำได้หากจำเป็น

4.2 คอลลาเจนเข้มข้น (Collagen Matrix)

เนื่องจากกระดูกอ่อนผิวข้อเข่ากว่า 90% ประกอบมาจากคอลลาเจน การฉีดคอลลาเจนเข้มข้นเข้าไปโดยตรงในข้อเข่าจึงเป็นวิธีการรักษาที่ตรงจุดและตรงกับสาเหตุของโรค สารคอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปจะช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกอ่อนที่สึกหรอ ลดการเสียดสีระหว่างผิวข้อ และลดอาการปวด

ข้อดีของการฉีดคอลลาเจนเข้มข้นคือ เห็นผลเร็วในการทุเลาอาการปวด มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูข้อเข่า และออกฤทธิ์อยู่ได้นาน โดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษาหลายครั้ง การศึกษาพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการรักษา และผลการรักษาสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี

4.3 เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell)

การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเป็นนวัตกรรมล่าสุดในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยการนำเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกหรือไขมันของผู้ป่วยเอง มาเพาะเลี้ยงให้เพิ่มจำนวนและปรับสภาพ แล้วฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่า

เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้จะถูกเหนี่ยวนำให้กลายเป็นเซลล์กระดูกอ่อนใหม่ ทำให้ได้เซลล์ข้อเข่าที่สดใหม่ อ่อนวัย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เซลล์ต้นกำเนิดยังปล่อยสารที่ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในข้อเข่า

การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดอื่นๆ โดยผลการรักษาสามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีการเสื่อมในระดับปานกลางถึงรุนแรงแต่ยังไม่ต้องการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

ทั้งสามวิธีข้างต้นเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย ให้ผลการรักษาที่ดี และเหมาะกับภาวะเข่าเสื่อมทุกระยะ อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาจากอายุ ระดับความรุนแรงของโรค อาการ ลักษณะการใช้ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการรักษามากที่สุด

5. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า: ทางเลือกสุดท้ายเมื่อวิธีอื่นไม่บรรเทาได้

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีข้อเข่าเสื่อมในระยะสุดท้าย หรือที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม การผ่าตัดนี้มีหลายรูปแบบ ได้แก่:

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าบางส่วน (Partial knee replacement): เหมาะสำหรับผู้ที่มีการเสื่อมเฉพาะบางส่วนของข้อเข่า มีการเจ็บปวดน้อยกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่า และรักษาการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติได้มากกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด (Total knee replacement): เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่แพทย์จะตัดผิวข้อเข่าที่เสื่อมสภาพออกและแทนที่ด้วยข้อเทียมที่ทำจากโลหะและพลาสติกพิเศษ เหมาะสำหรับผู้ที่มีการเสื่อมรุนแรงทั่วทั้งข้อเข่า

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าแบบใช้หุ่นยนต์ช่วย (Robotic-assisted knee replacement): เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัด ทำให้มีความแม่นยำสูง ลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ และให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องอาศัยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูหลังผ่าตัดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง การฟื้นฟูหลังผ่าตัดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการผ่าตัดและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

ข้อควรพิจารณาก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า:

  • อายุและสุขภาพโดยรวม: ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการผ่าตัดซ้ำในอนาคต เนื่องจากข้อเทียมมีอายุการใช้งานประมาณ 15-20 ปี
  • ความคาดหวังและลักษณะการใช้ชีวิต: การผ่าตัดจะช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงคุณภาพชีวิต แต่อาจมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การวิ่ง กระโดด หรือเล่นกีฬาที่มีการกระแทกสูง
  • ความพร้อมในการฟื้นฟู: การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าต้องการความทุ่มเทในการฟื้นฟูหลังผ่าตัดเป็นเวลาหลายเดือน ผู้ป่วยต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

สรุป: ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ

โรคข้อเข่าเสื่อม แม้จะเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและชะลอการดำเนินของโรคได้ด้วยวิธีการรักษาที่เหมาะสม วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ การผสมผสานวิธีการต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากวิธีที่ไม่รุกรานก่อน เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การกายภาพบำบัด และยา หากอาการไม่ดีขึ้น จึงพิจารณาการรักษาที่ก้าวหน้าขึ้น เช่น การฉีดสารพิเศษ หรือการผ่าตัดในที่สุด

การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่า ลดความจำเป็นในการผ่าตัด และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลือกอ่านได้ที่นี่

Flex Rehab & Flex Wellness

ปวดจุดไหน ให้เราฟื้นฟู

ดูแลด้วยนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ ที่ เฟล็กซ์รีแฮบ และ เฟล็กซ์เวลเนสทุกสาขาทั่วประเทศไทย

  • ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

  • ดูแลด้วยนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ